2013 USA Trip ฉบับ MDRT Storm Adventure#7

สวัสดีค่าท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน เผลอแป๊บเดียวตอนนี้ก็เป็นตอนที่ 7 แล้วนะคะ การเดินทางครั้งนี้ช่างยาวนานเหลือเกินนะคะ และมีหลากหลายรสชาติจริงๆ ค่ะ แต่ทว่าไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา ซึ่งเราก็กำลังเดินทางเข้าใกล้บทสรุปของการเดินทางครั้งนี้แล้วค่ะ โปรดติดตามค่ะ

เรากลับมาที่การเดินทางของเรากันต่อดีกว่าค่ะ ความเดิมตอนที่แล้ว นิได้พลัดหลงกับพรรคพวก เพราะไม่ได้ตั้งใจฟังให้ชัดเจนว่าจุดนัดพบของเราอยู่ที่ไหน หลังจากพยายามทำใจว่า ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด เราก็คงได้ไปเจอกันที่สถานีรถไฟ จึงทำให้ เดินเที่ยวที่ Time Square ได้อย่างมีความสุขมากขึ้นค่ะ 

Image

และแล้วความพยายามของเราก็ไม่สูญเปล่า มีพี่ร่วมทริปของเราโทรกลับมา ขออนุญาตร้องเพลง ‘แต่เราก็หากันจนเจอ’ นะคะ จึงได้รูว่าเป็นความผิดพลาดของนิจริงๆ ค่ะ ที่ไม่ฟังจุดนัดพบของเราให้ชัดเจน ส่วนกลุ่มทางนี้ก็ปักหลักไม่ยอมไปไหน ยืนอยู่ที่ 32nd street จนกว่าเราจะเดินมา นี่ยังนึกไม่ออกเลยนะคะว่าถ้าเกิดไม่มีใครเปิด Roaming โทรศัพท์มือถือมา จะหากันเจอได้อย่างไร

Image

เราเหลือเวลาเดินเล่นถ่ายรูปไม่มากแล้วค่ะ เพราะเราต้องรีบเดินทางไปยังสถานีรถไฟ มิเช่นนั้น เราอาจจะตกรถไฟก็เป็นได้ เนื่องจากเรามีกันถึง 12 คนเราจึงคิดว่าจะไปสถานีรถไฟด้วยรถแท็กซี่ค่ะ แต่ทว่า เราเรียกรถแท็กซี่อยู่หลายคัน และหลาย location มาก เรียกที่หัวถนนบ้าง กลางถนนบ้าง ไปดักที่หน้าโรงแรมบ้าง เดินไปทั่ว Time Square เลยค่ะ แต่สุดท้ายก็ไม่มีรถแท็กซี่ที่ว่างสักคันที่จะรับพวกเราเลยค่ะ มีเรื่องให้ต้องตื่นเต้นจนอดรีนาลีนหลั่งกันอีกแล้ว สุดท้ายของสุดท้ายจริงๆ เราจึงตัดสินใจไปสถานีรถไฟด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินแทนค่ะ คราวนี้ต้องเดินแกมวิ่งกันเลยทีเดียว มิเช่นนั้นตกรถไฟแน่ๆ ค่ะ สงสารพี่ๆ ที่ใส่รองเท้ามีส้น (ที่สูง) มากเลยค่ะ เพราะเราต้องแข่งกับเวลาจริงๆ แล้วค่ะ ขนาดนิใส่เป็นรองเท้าผ้าใบ ยังทั้งเจ็บทั้งเมื่อยเท้าเลยค่ะ ช่างเป็นการเดินทางที่ทั้งเหนื่อย ทั้งตื่นเต้นมากจริงๆ ค่ะ และนี่แหละค่ะ เป็นสีสันของการเที่ยวเอง เพราะจะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันมาให้เราคอยรับมือตลอดเวลาเลยค่ะ

Image

ในที่สุดเราก็มาถึงสถานีรถไฟ ก่อนเวลารถไฟออก 3 นาที (เฉียดฉิวมาก) เพื่อมาพบว่ารถไฟ delay ไป 15 นาที ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แอบดีใจเล็กๆ ที่รถไฟ delay เพราะว่าอย่างน้อยก็ทำให้เราได้พอมีเวลาหายใจ หายคอ และได้แวะเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตากัน นินึกไม่ออกว่า ถ้ารถไฟออกตรงเวลา และเรามาถึงก่อนเวลารถไฟออกเพียง 3 นาที จะเพียงพอแก่การไปหาว่า รถไฟที่ไปเมืองฟิลาเดลเฟียอยู่ที่ชานชาลาไหน และจะวิ่งไปยังชานชาลานั้นทันหรือไม่ ซึ่งนิคิดว่าน่าจะทัน แต่หัวใจคงต้องทำงานหนักมากเป็นแน่แท้ค่ะ (หัวใจอาจวายได้ เพราะลุ้นจัด ล้อเล่นนะคะ) 

เมื่อขึ้นไปนั่งที่รถไฟ เราก็พากันหลับด้วยความเหนื่อยและความเพลีย เป็นทริปที่มีเรื่องให้ต้องลุ้นกันอยู่ตลอดเวลาจริงๆ ค่ะ เชื่อนิหรือยังคะว่า ‘หนทางยิ่งขรุขระ การเดินทางยิ่งน่าจดจำ’

หลังจากวันนี้ก็เป็นการประชุม MDRT นิเข้าร่วมประชุมทั้งหมด 3 วันเต็มค่ะ ซึ่งเรื่องราวของการประชุม นิได้เล่าให้ฟังไปแล้วในตอนที่ 2 และตอนที่ 3 ค่ะ ลองอ่านย้อนหลังกันได้นะคะ ที่ blog นี้ล่ะค่ะ

เมื่อประชุม MDRT เสร็จเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินทาง ‘กลับบ้านเรา รักรออยู่’ หากเป็นการเดินทางในครั้งก่อนๆ นี่คงเป็นบทส่งท้ายของการเดินทางแล้วค่ะ แต่สำหรับเช้าวันนั้น เช้าวันที่ 13 มิ.ย. 2556 ใครเลยจะคาดคิดว่ามันจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่ ที่ตื่นเต้นยิ่งกว่าอีกครั้งหนึ่งของชีวิตก็ว่าได้ค่ะ และนี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นิเขียนบันทึกความทรงจำฉบับนี้ขึ้นมา พร้อมรับฟังหรือยังคะ ถ้าพร้อมแล้วตามนิมาได้เลยค่ะ

ในการเดินทางกลับ เส้นทางการเดินทางของนิจะเป็น ฟิลาเดลเฟีย – ซาน ฟรานซิสโก – นาริตะ – กรุงเทพ ซึ่งไฟล์ทจากฟิลาเดลเฟียไปซานฟรานเป็น ไฟล์ทเช้า เวลา 5.55 น. เราจึงต้องไปถึงสนามบินประมาณตี 4 และมี morning call ตอนตี 3 ค่ะ มีประสบการณ์จากขามาว่าควรต้องนอนพักผ่อนเอาแรงไว้บ้าง อย่าได้อดนอนไปขึ้นเครื่อง จึงรีบจัดกระเป๋าและเข้านอน

ความตื่นเต้นเล็กๆ ก่อนไปสนามบินก็คือ การซ้อมชั่งน้ำหนักกระเป๋า ทางทัวร์ได้เตรียมเครื่องชั่งน้ำหนักให้เราได้ลองชั่งน้ำหนักกระเป๋าดูก่อน หากน้ำหนักเกินจะได้รีบกระจายน้ำหนักกันใหม่ เพราะอย่างที่นิได้เคยเล่าให้ฟังไปบ้างแล้วว่า สายการบิน United Airline เข้มงวดกับทั้งจำนวนและน้ำหนักกระเป๋ามากๆ เลยค่ะ น้ำหนักกระเป๋านิก็แอบเกินนะคะ จัดแล้วจัดอีก กว่าจะได้ ก็เล่นเอาแทบหมดแรง (วิธีการ คือ นิกระจายน้ำหนักมายังกระเป๋า carry on ใบใหม่ที่เพิ่งซื้อมาค่ะ)

เมื่อมาถึงสนามบิน ยังไม่ทันจะได้ลงจากรถ ไกด์ก็บอกว่า มีข่าวจะแจ้ง ไม่รู้ว่าควรจะเป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย ข่าวที่ว่าก็คือ พายุทอร์นาโดกำลังจะเข้าที่ตอนกลางของอเมริกาและ Flight ของเราถูกยกเลิกค่ะ เพราะ flight ของเราต้องบินข้ามจากตะวันออกไปยังตะวันตก ซึ่งอยู่บนเส้นทางที่พายุทอร์นาโดวิ่งผ่านแน่ๆ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย flight ดังกล่าวจึงถูกยกเลิก และในวันนั้นก็มีหลายร้อยเที่ยวบินที่ถูกยกเลิกเช่นกันค่ะ ที่ไม่ถูกยกเลิกก็ flight delay กันเป็นทิวแถว หลังจากนั้นเราก็ต้องรอจับเจ่า standby อยู่ที่สนามบิน เพื่อรอว่าทางสายการบิน United Airline จะจัดการอย่างไรกับเหล่าบรรดาคนตกเครื่องทั้งหลาย เช่น หากท้องฟ้าเปิด และมี Flight ถัดไปที่สามารถขึ้นบินได้ ก็อาจจะส่งเรา (บางส่วน) ไปกับเครื่องบินลำดังกล่าว เป็นต้น 

กว่าที่เราจะรู้ชะตากรรมก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสามโมง ด้วยผลสรุปที่ว่า วันนี้ยังกลับบ้านไม่ได้ (ไม่มี flight ค่ะ) รวมเวลาเบ็ดเสร็จที่เราต้องรออยู่ที่สนามบินเกือบ 10 ชั่วโมง เลยต้องกลับไปรอที่โรงแรมก่อน โดยให้ทางทัวร์เป็นผู้ประสานงานกับทางสายการบินว่าจะจัดการให้เราได้กลับบ้านกันได้อย่างไร พอสักค่ำๆ ก็ได้คำตอบ คณะทั้งหมดที่มาด้วยกันที่ต้องนั่งเครื่องไปลงซาน ฟรานซิสโก มีด้วยกันประมาณ 50 ชีวิต เราถูกจับแยกให้บินด้วย Flight ที่แตกต่างกันไป เป็น flight เช้ามืดบ้าง flight สายบ้าง และมีบางคน แม้วันพรุ่งนี้ก็ยังกลับไม่ได้ ต้องรอวันถัดไป เสียด้วยซ้ำ

Image

ในส่วนของนิ ผู้ร่วมชะตากรรมที่ต้องเดินทางไปด้วยกันมีประมาณ 20 ชีวิต เราต้องไปขึ้นเครื่องกันที่สนามบิน JFK ที่นิวยอร์ก แล้วบินจากนิวยอร์กไปนาริตะ และกรุงเทพฯ ตามลำดับ เราบินด้วยสายการบิน Delta Airline ซึ่งทางสายการบิน United Airline ส่งให้เราบินกลับด้วยสายการบินนี้ค่ะ ตอนแรกที่เราได้ตารางเที่ยวบินมา เราก็นึกในใจว่า ‘โชคดีจังเลย เพราะเราได้ตารางบินที่ดีที่สุด (เมื่อเทียบกับคนอื่น)’ ความหมายของคำว่าดีที่สุดก็คือ เราไม่ต้องตื่นแต่เช้ามืด เพราะ flight เราออกจากสนามบิน JFK ตอนบ่ายสองโมง ดังนั้นเราต้องนั่งรถบัสจากโรงแรม (ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย) ไปยังสนามบิน JFK ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ดังนั้นเมื่อคำนวณเวลาย้อนกลับมา เราต้องออกจากโรงแรมประมาณ 9 โมงค่ะ ซึ่งจากตารางเวลาดังกล่าว ทำให้เราไม่ต้องตื่นเช้ามาก และสามารถนั่งกินข้าวเช้าแบบสบายๆ ได้อีกด้วย แต่ทว่า โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ของที่เราคิดว่าดีที่สุด อาจจะใช่หรือไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดเสมอไปก็เป็นได้ เพราะอะไรนิถึงพูดเช่นนี้ โปรดติดตามตอนต่อไป ซึ่งจะเป็นตอนจบของการเดินทางที่แสนจะตื่นเต้นครั้งนี้แล้วค่ะ 

Image

ปล. ความน่าเจ็บใจของการเดินทางครั้งนี้ก็คือ ก่อนที่จะเดินทางมา นิคิดจะซื้อประกันเดินทาง แม่นิก็ทักขึ้นมาว่า ไปกับทัวร์ เขาไม่มีประกันเดินทางให้เหรอ นิจึงโทรไปถามกับบริษัททัวร์ ซึ่งทางทัวร์ก็บอกว่าได้ซื้อประกันเดินทางไว้แล้ว พอได้ฟังดังนั้น ก็เลยไม่ได้ซื้อประกันเดินทางส่วนตัวเพิ่ม และไม่ได้ถามต่อว่า ประกันเดินทางที่ทางทัวร์ซื้อให้นั้น มีความคุ้มครองอะไรบ้าง ซึ่งปรากฏว่ามีเพียงความคุ้มครองชีวิตเท่านั้น ทำให้เมื่อเกิดเหตุถูกยกเลิกเที่ยวบิน จึงไม่สามารถเบิกอะไรได้เลยค่ะ ในขณะที่พี่ๆ ร่วมทริปที่ได้ซื้อประกันเดินทางส่วนตัวเพิ่มมาด้วย สามารถเบิกค่าชดเชยเนื่องจากเที่ยวบินถูกยกเลิกได้หลายสตางค์เลยทีเดียว เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้เป็นอย่างดีว่า เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ จงอย่าได้ตั้งตนอยู่บนความประมาท (โปรดศึกษารายละเอียดความคุ้มครองของประกันเดินทางเพิ่มเติมได้จาก website ที่เกี่ยวข้องหรือตัวแทนของคุณค่ะ)

หากมีคำแนะนำติชมประการใด สามารถติดต่อนิได้ที่ nipapunp@hotmail.com ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามและให้การสนับสนุนมาโดยตลอด