2013 USA Trip ฉบับ MDRT Storm Adventure#6

สวัสดีค่าท่านผู้อ่านที่รักทุกท่าน เผลอแป๊บเดียวตอนนี้ก็เป็นตอนที่ 6 แล้วนะคะ ไม่อยากจะบอกว่านิคลอดจำนวนตอนของการเดินทางครั้งนี้ออกมามากกว่าที่ตั้งใจไว้ในตอนต้นเสียอีก เหตุก็เพราะว่าความช่างเล่าของนินั่นเอง ก็หวังว่าท่านผู้อ่านทุกท่านยังคงติดตามผลงานของนิอย่างต่อเนื่องนะคะ แม้ว่าหลายท่านเข้ามาอ่านเพราะอยากรู้ว่านิติดพายุ ตกเครื่องแล้วหาทางกลับบ้านได้อย่างไร แต่นิก็ยังไม่ยอมเล่าเหตุการณ์ดังกล่าวเสียที พาเถลไถลไปประชุม MDRT บ้างละ ไปเที่ยวซานฟรานซิสโกบ้างล่ะ และตอนนี้ก็กำลังจะพาท่านผู้อ่านไปเที่ยวนิวยอร์กอีก ก็ขอให้อดใจรออีกนิดนะคะ นิอยากให้ทุกท่านได้สนุกสนาน ได้สาระความรู้ ได้ตื่นเต้นเร้าใจ ได้ครบทุกรสชาติ ราวกับว่าท่านผู้อ่านได้เดินทางมาพร้อมกับนิอย่างไร อย่างนั้นเลยค่ะ

กลับมาที่การเดินทางของเราต่อดีกว่าค่ะ ความเดิมตอนที่แล้ว เรากำลังจะเดินทางจากเมืองซานฟรานซิสโก มายังเมืองฟิลาเดลเฟีย เพื่อมาเข้าร่วมประชุม MDRT ค่ะ flight จากเมืองซานฟรานซิสโก มายังเมืองฟิลาเดลเฟีย เป็น flight กลางคืน ประมาณ 4 ทุ่มและใช้เวลาบินประมาณ 6 ชั่วโมง กอปรกับเวลาที่เมืองฟิลาเดลเฟียเร็วกว่าที่เมืองซานฟรานซิสโกอีกประมาณ 3 ชั่วโมง (ถ้าใครนึกแผนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาไม่ออกนะคะ นิอยากจะบอกว่าเมืองซานฟรานซิสโกอยู่ทางตะวันตกของประเทศ ในขณะที่เมืองฟิลาเดลเฟียอยู่ทางตะวันออกของประเทศ เราบินข้ามจากตะวันตกไปตะวันออกค่ะ) ปรากฎว่าเราจะไปถึงเมืองฟิลาเดลเฟียตอนเช้าพอดี เท่ากับว่าต้องนอนบนเครื่องค่ะ ข้อดี คือ ประหยัดค่าโรงแรมไป 1 คืน แต่ข้อไม่ดีคือ นอนไม่หลับเลยค่ะ เมื่อชั่งน้ำหนักข้อดี ข้อเสียแล้ว นิยินดีจ่ายค่าโรงแรมเพิ่มอีก 1 คืนจะดีกว่าค่ะ (แต่เลือกไม่ได้ เพราะตารางบินเป็นอย่างนี้) การอดหลับอดนอนทำให้รู้สึกเหนื่อยเพิ่มอีกเท่าตัวเลยทีเดียวค่ะ

รูปภาพ

Flight เราลงแต่เช้า ซึ่งยังไม่ถึงเวลาเช็คอินห้องพัก เราจึงได้ไปแวะเที่ยว Liberty Bell Center  ซึ่งภายในจะจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาเป็นไปของระฆัง ระฆัง​ใบนี้มีชื่อ​เรียกว่า Liberty Bell หรือ ระฆังแตก ซึ่งจัด​เป็นระฆังที่มี​ความหมายต่อประวัติศาสตร์ชาติอ​เมริกัน ​เพราะ​เป็นระฆัง​ใบที่ส่ง​เสียงก้องกังวานหลังประกาศอิสรภาพ​ไม่ขึ้นตรงต่อ จักรภพอังกฤษ​ในปี 1776  ​เหตุที่​เลือก​ใช้ระฆัง​ใบนี้​ก็​เพราะรอบๆ ระฆังจารึกข้อ​ความที่มี​ความหมายจับ​ใจ​เกี่ยวกับ​เสรีภาพ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของ​การประกาศอิสรภาพพอดี  ระฆัง​เสรีภาพ​ใบนี้มีน้ำหนัก 2,080 ปอนด์ ​เริ่ม​แขวน​เป็นระฆังประจำ​เมืองฟิลา​เดล​เฟีย ตั้ง​แต่ปี 1753 ​ใช้ตียามมี​การประชุมสภา ​หรือ​เหตุ​การณ์สำคัญ ก่อนจะ​ใช้​ใน​การตี​เพื่อประกาศ​เอกราช หลังจากนั้น​ก็จะตี​ไว้อาลัย​ในอสัญกรรมของคณะ​ผู้กอบกู้อิสรภาพทุกๆ คน  ระฆัง​เริ่มปรากฏรอยร้าว​ในปี 1835 ​และ​แตกปริหลัง​การตีฉลองวัน​เกิดประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน ​ทำ​ให้ทาง​การสหรัฐยก​เลิก​การตีระฆังพร่ำ​เพรื่อ ​เพื่อยืดอายุของระฆัง​ให้ยาวนานที่สุด

รูปภาพ

หลังจากถ่ายรูปกับระฆังแตกเป็นที่เรียบร้อย ก็เดินทางไปหย่อนใจยังห้างสรรพสินค้า (เพื่อรอเวลาอีกเช่นเคยเนื่องจากยังเช็คอินเข้าที่พักไม่ได้) ซึ่งเราก็ไม่ได้เดินเที่ยวอะไรมากมาย (เพราะยังไม่ตื่นเท่าไหร่เลย) สุดท้ายก็มานั่งสลบไสลรอห้องพักที่ล็อบบี้โรงแรมค่ะ เมื่อได้ห้องพัก นิก็หลับเป็นตายเลยค่ะ ตื่นขึ้นมาอีกทีก็เย็นย่ำ เราก็ถือโอกาสเดินชมเมืองและไปทานข้าวเย็นที่แถว China Town เป็นร้านอาหารจีน ซึ่งอร่อยมากค่ะ และเราก็ได้ฝากท้องที่ร้านนี้อีกหลายมื้อ ตลอดเวลาที่เราอยู่ที่เมืองฟิลาเดลเฟียกันเลยล่ะค่ะ

เช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ ตามโปรแกรมทัวร์คือให้พักผ่อนอิสระ เพื่อเตรียมตัวเข้าประชุม MDRT ในวันถัดมา (ที่นิได้เล่าให้ฟังถึงบรรยากาศของการประชุม MDRT ไปเมื่อตอนต้นๆ แล้วนะคะ) แต่เราก็ไม่อยากที่จะนอนเล่นเฉยๆ อยู่ในโรงแรม เรา (ประกอบไปด้วยสมาชิก 12 ท่าน) ก็เลยตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวเมืองนิวยอร์กกันค่ะ ในตอนต้น เราติดต่อทางทัวร์ให้หารถเช่าให้ ยืนรอคำตอบจากทางทัวร์อยู่เป็นนาน สองนาน จึงได้รับคำตอบว่า ไม่มีรถว่างเลยค่ะ สุดท้ายเราจึงตัดสินใจที่จะไปเที่ยวนิวยอร์กด้วยตัวเอง แต่น แตน แต๊น การผจญภัยในนิวยอร์กจึงได้เริ่มต้นขึ้น ณ บัดเดี๋ยวนี้เลยค่ะ

เราเริ่มต้นการผจญภัยด้วยการนั่งแท็กซี่ไปยังสถานีรถไฟ ซึ่งเราจะนั่งรถไฟจากตัวตัวเมืองฟิลาเดลเฟีย เพื่อไปที่เมืองนิวยอร์ก ขณะนั้นเป็นเวลาประมาณ 10 โมงเช้าแล้วค่ะ (เสียดายเวลาที่รอให้ทัวร์ให้รถเช่าจัง) สิ่งที่เราต้องตัดสินใจก็คือ การเลือกเวลาของเที่ยวกลับจากนิวยอร์ก เพราะการซื้อตั๋วรถไฟ แบบไป – กลับ ทำให้ราคาถูกลงมาอีกนิดนึงค่ะ และอีกเหตุผลที่สำคัญก็คือ เราจะมีงานเลี้ยงกันตอนเย็นด้วยค่ะ จึงต้องวางแผนการเที่ยวให้ดี เพื่อให้กลับมาทันเข้าร่วมงานเลี้ยงกันค่ะ

เมื่อตัดสินใจได้ เราก็ซื้อตั๋ว และรอเวลารถไฟออก รถไฟออกตรงเวลาเลยค่ะ บนรถไฟสะอาด สะอ้านมากค่ะ มิหนำซ้ำ ยังมี wifi ให้เราได้ท่อง internet กันอีกค่ะ รู้สึกว่าช่างเป็นการเดินทางที่สะดวกสบายอะไรเช่นนี้ หากที่เมืองไทยมีการเดินทางด้วยรถไฟที่สะดวกสบายเช่นนี้ คงจะดีไม่น้อย เพราะอย่างน้อยๆ คงดึงดูดให้นิเที่ยวเมืองไทยได้มากกว่านี้ค่ะ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึงนิวยอร์กค่ะ ดีใจมาก ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้มาเที่ยวนิวยอร์ก ส่วนตัวเดินทางมาอเมริกาหลายครั้ง (เคยมาเรียนอยู่เกือบปี) แต่ยังไม่เคยมีโอกาสมาเที่ยวนิวยอร์กเลยค่ะ 

รูปภาพ

มารถไฟต่อด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน เพื่อเดินทางไปยังจุด land mark ของเมือง ซึ่งถ้ามาถึงนิวยอร์กแล้วไม่มา ถือว่ามาไม่ถึงนิวยอร์ก นั่นคือ เทพีเสรีภาพค่ะ เทพีเสรีภาพ ตั้งอยู่ ณ เกาะลิเบอร์ตี อ่าวนิวยอร์ก โดยปกติเราสามารถลงเรือเพื่อข้ามไปยังเกาะลิเบอร์ตี เพื่อยลโฉมเทพีเสรีภาพให้ชัดกว่านี้ แต่ในช่วงที่เรามา เขาบอกว่า มีการซ่อมปรับปรุง ทำให้เราไม่สามารถข้ามไปได้ค่ะ เราจึงได้แต่ถ่ายรูปอยู่ห่างๆ (จากรูปที่นำมาฝาก เทพีเสรีภาพอยู่ไกลลิบเชียวค่ะ) แต่ไม่เป็นไรค่ะ นิได้ให้สัญญากับตัวเองว่าจะต้องกลับมาที่นิวยอร์ก และเที่ยวนิวยอร์กให้เต็มที่กว่านี้ให้ได้ค่ะ

หลังจากถ่ายรูปกับเทพีเสรีภาพ (แม้จะไกลแค่ไหน ก็ไม่หวั่น เราก็ยังคงสามารถถ่ายรูปกันได้อย่างเมามันค่ะ) ท้องก็ร้องพอดี  ได้เวลาต้องไปหาอาหารอร่อยๆ ทานกันแล้วค่ะ มีพี่ท่านนึง ได้รับคำแนะนำมาจากคุณลูกค้าว่า ถ้ามาถึงนิวยอร์กอย่าลืมไปทานพิซซา ที่ร้านนี้นะ ซึ่งพิซซาร้านที่ว่า คือ ร้าน Angelo’s Pizza เราจึงต้องดั้นด้นเพื่อไปทานที่ร้านนี้กันด้วยการนั่งรถเมล์ไปค่ะ เราเข้าไปถามข้อมูลที่ visitor center จนรู้ว่าต้องนั่งรถเมล์สายไหน เมื่อรถเมล์มา เราก็พากันไปนั่งบนรถเมล์อย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งแต่ละคนก็มีตั๋ว one-day pass (ซื้อตั้งแต่อยู่ที่สถานีรถไฟแล้วค่ะ) การเดินทางโดยขนส่งสาธารณะที่ต่างประเทศ นับว่าสะดวกมากเลยค่ะ เพราะโดยส่วนใหญ่ บัตรเดินทางหรือตั๋ว 1 ใบ สามารถใช้ได้ทั้งนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน นั่งรถเมล์ หรืออื่นๆ ตามแต่กำหนด อารมณ์ตอนนั้น นินึกว่าบนรถเมล์จะมีเครื่องอ่านตั๋วอัตโนมัติ เหมือนตั๋ว Octopus ที่ฮ่องกงอะไรประมาณนั้น แต่พอขึ้นไปบนรถเราก็ไม่เจอเครื่องอ่านตั๋วนะคะ กอปรกับเพื่อความไม่ประมาท นิเลยเดินไปถามพนักงานขับรถประมาณว่า รถเมล์สายนี้ผ่านสถานที่ที่เราต้องการจะไปมั้ย ถ้าถึงแล้วอย่าลืมบอกด้วย และบัตร (ตั๋ว) ใบนี้ใช้ได้มั้ย อะไรประมาณนั้น โชคดีที่ถามค่ะ (ประสบการณ์เดินทางแบบ Back pack ที่โชกโชน สอนให้เราต้องรอบคอบในการเดินทางค่ะ) เพราะพนักงานท่านนั้นบอกว่า ยังใช้ไม่ได้ ยูต้องไป Validate ที่เครื่องอ่านตั๋วข้างล่างนั้นก่อน พร้อมกับเรียกเพื่อนอีกคนมาช่วยพาเราไปที่เครื่อง Validate ตั๋ว และช่วยอำนวยความสะดวกในการ Validate ตั๋วให้กับพวกเราทุกคนค่ะ แหม น่ารักจริงๆ เลยค่ะ ถึงบอกว่าโชคดีที่ถาม เพราะหากเราไม่ Validate ตั๋วก่อนขึ้นรถเมล์ และถ้าโชคร้ายมีนายตรวจมาตรวจตั๋ว เราจะมีความผิด และเสียค่าปรับไม่น้อยเลยค่ะ เพราะนิเคยมีประสบการณ์เดินทางด้วยรถไฟที่อิตาลีค่ะ โดยที่เราขึ้นรถไฟโดยที่ไม่รู้ว่าต้องทำการ Validate ตั๋วกับเครื่อง Validate ตรงชานชาลาก่อน ผลปรากฎคือ พอนายตรวจมาตรวจตั๋วก็แจ้งว่าเรามีความผิด และต้องเสียค่าปรับ รู้สึกว่าตอนนั้นจะโดนค่าปรับไปประมาณ 50 ยูโรนะคะ แล้วเชื่อมั้ยคะหลังจากนั้นเราไม่เคยลืมที่จะต้อง Validate ตั๋วอีกเลย และเราก็ไม่เคยได้เจอนายตรวจอีกเลยเช่นกัน เป็นบทเรียนที่สอนว่า ‘เมื่อคุณทำความผิด (แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจ) คุณมักจะถูกจับได้ค่ะ’ ดังนั้นอย่าได้ทำความผิดเลยจะดีกว่าค่ะ

รูปภาพ

และแล้วเราก็มาถึงร้าน Angelo’s Pizza จนได้ หิวซกกันเลยทีเดียว ก็เลยสั่งอาหารกันยกใหญ่ ได้อีกหนึ่งบทเรียนว่า อย่าสั่งอาหารเมื่อหิวจัด เพราะคุณจะกินไม่หมด (หรือเป็นเพราะว่าจานใหญ่มากด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้) ถามว่าอาหารอร่อยมากสมคำร่ำลือหรือไม่ นิรู้สึกเฉยๆ นะคะ (โดยปกติไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้พิซซา) แต่สิ่งที่นิประทับใจก็คือ การดั้นด้นมาจนถึงร้านนี้ต่างหาก มันเป็นการผจญภัยเล็กๆ เป็นประสบการณ์ที่ทำให้นิหลงใหลการเที่ยวแบบ Back pack และเป็นการยืนยันคำกล่าวที่ว่า ‘ความสุขอยู่ที่ระหว่างการเดินทาง ไม่ได้อยู่ที่ปลายทางจริงๆ ค่ะ’

รูปภาพ

เมิ่ออิ่มหนำกันแล้ว เราต้องเร่งเดินทางกันนิดนึงค่ะ เพราะไม่งั้นจะกลับไม่ทันเวลารถไฟขากลับที่เราได้จองตั๋วไว้ จากร้านพิซซา เราจะเดินทางไปยัง Time Square กัน ซึ่งก็เป็นอีก 1 land mark ที่สำคัญของนิวยอร์ก เราเดินทางด้วยแท็กซี่ 3 คัน โดยที่กำหนดจุดนัดพบไว้ที่ 7th Avenue, 32nd Street ครั้งนี้เป็นความผิดพลาดของนิจริงๆ ค่ะ เพราะนิได้ยินแต่ชื่อถนน แต่ไม่ได้ยินว่าเจอกันที่ block ไหน เมื่อนิ (และเพื่อนร่วมชะตากรรมอีก 3 คน) ขึ้นไปยังบนรถแท็กซี่ นิจึงบอกแต่จุดหมายปลายทางว่าเป็น Time Square คนขับก็พาเราไปส่งที่ใกล้กับศูนย์กลางของ Time Square มากที่สุด เมื่อลงจากรถ ที่ Time Square คนเยอะมากกกก (มากลากเสียงยาว เพื่อเน้นว่าคนเยอะมากจริงๆ ) ตอนนั้นจึงทั้งตระหนักและตระหนกขึ้นมาทันทีว่า คนเยอะขนาดนี้ จะหากันเจอได้ยังไงเนี่ย เรายืนอยู่ตรงนั้นอยู่พักใหญ่เพื่อดูว่าจะมีแท็กซี่อีก 2 คัน (ที่พาพรรคพวกของเรา) ตามมามั้ย ก็ไม่มีค่ะ ลองเดินเป็นวงกลมอยู่แถวนั้นสักรอบนึงก็ไม่เจอใคร สุดท้ายตัดสินใจ ลองโทรเข้ามือถือของพี่ๆ ที่นิมีเบอร์อยู่ โดยหวังว่า อาจจะมีใครเปิด Roaming มา ผลปรากฎว่า ก็ไม่มีใครรับสายอีก ใจเต้นตุ๊มๆ ต่อมๆ ตอนนั้นรู้สึกว่าเที่ยว Time Square และถ่ายรูปไม่สนุกเลยค่ะ สุดท้ายของสุดท้ายก็คิดว่า ถ้าไม่เจอกันจริงๆ ไปเจอกันที่สถานีรถไฟก็แล้วกัน เมื่อคิดได้อย่างนั้น จึงค่อยหายใจหายคอคล่องขึ้นมาหน่อยค่ะ เชื่อหรือยังคะว่าการเดินทางของนิในครั้งนี้ adventure ขนาดไหน ความตื่นเต้นยังไม่จบเพียงแค่นี้นะคะ นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้นเองค่ะ

โปรดติดตามการเดินทางของนิได้ในตอนต่อไปค่ะ ว่าหลังจากพลัดหลงกับพรรคพวกแล้ว จะเป็นอย่างไรต่อไป อยากรู้ต้องติดตามค่ะ

หากมีคำแนะนำติชมประการใด สามารถติดต่อนิได้ที่ nipapunp@hotmail.com ขอบคุณมากนะคะที่ติดตามและให้การสนับสนุนมาโดยตลอด